“จากเรือรบ...สู่เรือแข่ง”

“จากเรือรบ...สู่เรือแข่ง”

“จากเรือรบ...สู่เรือแข่ง”

เกร็ดประวัติศาสตร์เรือยาวประเพณีปักษ์ใต้

การแห่พระแข่งเรือของชาวปักษ์ใต้ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรนั้น เรือส่วนมากเป็นเรือที่มีฝีพายจำนวนมาก ตั้งแต่ ๒๐ คนก็มี แล ๒๘ ถึง ๓๐ คนก็มี ในการแข่งเรือของชาวอำเภอหลังสวนนั้นได้กำหนดนไว้จำนวน ฝีพายตั้งแต่ ๒๘ ถึง ๓๐ คนประเภทหนึ่ง และ ๓๐ คนถึง ๓๒ คนประเภทหนึ่ง ซึ่งได้ชิงฝีมือกันใครจะเป็นผู้ชนะในแต่ละปี เรือที่เข้าแข่งทางปักษ์ใต้นั้นเมื่อดูตามลักษณะของเรือแล้ว ปรากฏว่าเป็นเรือประเภท “เรือแซ”

ภาพประกอบ ภาพจำลองขบวนเรือพระที่นั่งของสมเด็จพระนเวศวรและพระเอกาทศรถ ขณะไล่ติดตามพระยาจีนจันตุ ที่หลบหนีออกจากพระนครศรีอยุธยา (ขอบคุณภาพ จาก เรือนไทย.วิชาการ.คอม)

ตามประวัติของ “เรือแซ” หรือ เรือแข่งที่มีฝีพายจำนวนมากนั้น เดิมเมื่อชาวไทยได้อพยพลงมาสู่แผ่นดินตอนใต้ของประเทศจีนนั้นได้แยกย้ายกันออกไปตั้งอาณาจักร และคนไทยบางพวกได้อพยพเข้าไปในถิ่นของพวกละว้า “เซ” เช่น เซลำเภา เซมูล เซบังเหียน เซบ้องไฟ เซคงโดน ในปัจจุบันนี้เป็นลำน้ำอยู่ในพระราชอาณาจักรลาว และทางภาคอีสานของไทย

ในเวลาต่อมาคำว่าเซได้ผันแปรออกเป็นคำว่า “แซ” แปลว่าลำน้ำเหมือนกัน และคำว่าเรือแซ คือเรือที่อยู่ในลำน้ำนั่นเอง การกำหนดของเรือแซนั้นจะต้อง เป็นเรือยาวที่มีฝีพายไม่น้อยกว่า ๒๐ คน หัวและท้ายเรือจะต้องไม่งอนสูงขึ้น ถ้าหากหัวเรือยาวสูงขึ้นจะเป็นเรือดั้ง เช่นนี้เรือแข่งของชาวปักษ์ใต้จึงเป็นประเภทเรือแซดังกล่าว ซึ่งได้บรรจุฝีพายตั้งแต่ ๒๐ คนขึ้นไป ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ได้กำหนดเรือชนิดนี้ไว้เป็นเรือบรรทุกสิ่งของและกำลังทหารออกไปทำการรบ แต่เรือแซนี้บรรทุกคนและของได้น้อย ทั้งไม่สู้จะเร็วนักจึงได้แก้ไขเรือแซใหม่ให้ยาวและสามารถบรรทุกทหารออกทำการรบได้มากมีจำนวนถึง ๖๐ และ ๗๐ คน ให้ชื่อเรือใหม่นี้ว่าเป็นประเภทเรือชัย บางลำได้ดัดแปลงเจาะหัวเรือบรรจุปืนใหญ่ได้ มีรูปสัตว์อยู่เหนือปืนใหญ่ให้เรียกว่าเรือสัตว์ ซึ่งดัดแปลงมาจากเรือแซทั้งสิ้น ส่วนเรือแซก็ยังมีอยู่อย่างเดิม

ในสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ ขึ้นครองราชย์ กรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ.๒๐๙๑ ได้เพียง ๗ เดือน พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ กษัตริย์กรุงหงสาวดี ได้ยกกองทัพพม่า มอญ เข้ามาตีกรุงศรีอยุธยา ครั้งแรกเป็นศึกใหญ่ฝ่ายไทยได้ตั้งป้อมปราการอยู่ ๔ แห่งด้วยกัน คือ ทิศเหนือ เมืองลพบุรี ทิศตะวันออก เมืองนครนายก ทิศใต้ เมืองพระประแดง ทิศตะวันตก เมืองสุพรรณ ครั้นเมื่อทำการรบปรากฏว่าเมืองสุพรรณได้ถูกกองทัพตะเบงชะเวตี้ตีแตก ถอยร่นเข้าตั้งรับในพระนครศรีอยุธยาไว้เป็นที่มั่น กองทัพพระเจ้าหงสาวดี ไม่สามารถจะยกเข้าตีหักเอาพระนครได้เพราะมีน้ำล้อมรอบอยู่ พระเจ้าหงสาวดีไม่มีเรือจึงชะงักอยู่ ครั้นแล้วกองทัพเรือของพระมหาธรรมราชา ราชบุตรเขยของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่ครองเมืองพิษณุโลกอยู่ ได้ยกกำลังลงมาช่วยกรุงศรีอยุธยาเป็นศึกขนาบ และตีโอบกองทัพพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ และข่าวนี้เองพระเจ้าตะเบงชะเวตี้เกรงว่าจะเสียทัพจึงได้ยกทัพกลับทันที ด้วยเหตุนี้ไทยจึงให้รื้อป้อมปราการเสียอีก ๓ แห่งคือ สุพรรณ นครนายก ลพบุรี คงเหลือไว้แต่ป้อมเมืองพระประแดงและสั่งให้สร้างเรือแซ เรือชัย และเรือสัตว์เพิ่มเติมขึ้นอีกจำนวนมาก เนื่องจากเห็นความสำคัญทางเรือมากยิ่งขึ้น เพื่อไว้ต่อสู้กับพม่าเช่นที่เคยชนะมาแล้ว

กองทัพเรือของกรุงศรีอยุธยาเป็นกองทัพเรือที่เริ่มต้นด้วยเรือแซ และเปลี่ยนแปลง เป็นเรือชัย และเรือสัตว์ ในยามสงบนั้น เรือแซและ เรือชัย เรือสัตว์ ได้แปรขบวนเป็นเรือกระบวนแห่เสด็จพระราชทานกฐิน พร้อมทั้งเป็นเรือฝึกขบวนรบและเป็นเรือแข่งประเภทฝีพายในงานรื่นเริงทางน้ำ กรุงศรีอยุธยาไม่ได้แยกเป็นกองทัพเรือหรือกองทัพบกเช่นปัจจุบันนี้ หากแต่เรือนั้นเป็นพาหนะของกองทัพบกเท่านั้น เมื่อจะทำการรบทางน้ำก็ให้บรรดาทหารที่ทำการรบบนบกลงไปในเรือ พร้อมทั้งเป็นฝีพายไปในตัวด้วย และเมื่อพบข้าศึกก็ใช้ปืนใหญ่หัวเรือยิงกัน แต่ถ้าหากพบทหารข้าศึกบนบก ก็ขึ้นจากเรือรบกันอีก เรือแซจึงต้องสร้างกันไว้มาก ทั้งในยามปกติต้องฝึกพายกันตลอดเวลา เช่นเดียวกันกับ การแข่งเรือของชาวหลังสวน จำเป็นต้องฝึกกันอยู่ตลอดเวลา ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นถึง ๓-๔ เดือนเต็ม เพื่อฝึกฝนพละกำลัง และความพร้อมเพรียงกัน

ในปลายกรุงศรีอยุธยาก่อนจะเสียแก่พม่านั้นกองทัพเรือได้จอดอยู่ที่โรงเก็บรักษาหน้าวัดศาลาปูน ทางพระนครศรีอยุธยาด้านเหนือและได้ถอยมารวมไว้ที่แม่น้ำปากคลองตะเคียน พม่าได้ยกทหารมาเผาเสียหายทั้งหมด ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่าครั้งสุดท้ายและได้มาสร้างใหม่ในสมัย กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์

เรือแซที่สร้างใหม่ในรัชกาลที่หนึ่งแห่งกรุงรัตนโกสินทร์นั้นมี

  • เรือวิภัชนชล ยาว ๑๒ วา ๓ ศอก ๕ นิ้ว
  • เรืออนนทสมุทร ยาว ๑๒ วา ๓ ศอก
  • เรือจรเข้คำรามร้อง ยาว ๑๑ วา
  • เรือจรเข้คนองน้ำ ยาว ๑๑ วา
  • เรือวรวารีย์ ยาว ๑๑ วา ๓ ศอก
  • เรือปัทมสมุทร ยาว ๑๑ วา ๓ ศอก ๒ นิ้ว
  • เรือตลุมละเว้ง ยาว ๑๑ วา ๓ ศอก ๒ นิ้ว
  • เรือเตลงวัน ยาว ๑๐ วา ๒ ศอก
  • เรือคชรำราญ ยาว ๙ วา ๓ ศอก ๑ คืบ
  • เรือสารสินธู ยาว ๑๐ วา ๓ ศอก ๔ นิ้ว
  • เรือหมูชลจร ยาว ๑๑ วา ๓ ศอก ๖ นิ้ว
  • เรือสุกรกำเลาะ ยาว ๑๐ วา ๓ ศอก ๗ นิ้ว

เรือเหล่านี้ใช้เป็นเรือลำเลียงทหารและสิ่งของตลอดจนเป็นเรือริ้วขบวนในยามสงบที่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จทางชลมารค ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้เริ่มใช้เรือกลไฟเข้ามาแทรก และในที่สุดในปัจจุบันนี้เรือรบต่างๆใช้ฝีจักรทั้งหมด

การสร้างเรือแซ หรือเรือแข่งนั้นจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของประชาชน หากแต่ยังมีชาวปักษ์ใต้ที่ยังไม่ยอมละทิ้งประเพณีอันเก่าแก่นี้ จึงได้มีการรักษาประเพณีการขุดเรือแซหรือเรือแข่งนี้เมื่ออดีตนั้นได้เป็นกำลังป้องกันชาติมาแล้วให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง ความสำคัญของเรือแซที่ป้องกันชาติ และสร้างความสามัคคีในชาติเดียวกัน