งานแห่พระแข่งเรือชาวหลังสวน
ปี ๒๕๐๗

งานแห่พระแข่งเรือชาวหลังสวนปี ๒๕๐๗

งานแห่พระแข่งเรือชาวหลังสวนปี ๒๕๐๗

ปฐมบทโล่พระราชทาน

ในงานแห่พระแข่งเรืออันเป็นประเพณีของชาวหลังสวนได้ปฏิบัติมาทุกปีนั้น เดิมคณะกรรมการอำเภอหลังสวน ได้เป็นผู้จัดเป็นประจำทุกปีตลอดมา ทั้งนี้ด้วยทางราชการเห็นว่าเป็นงานวัฒนธรรมประเพณีของชาวปักษ์ใต้โดยแท้จริง และเพื่อรักษาประเพณีอันดีงามนี้ไว้เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของชาวหลังสวน

ใน พ.ศ. ๒๕๐๗ นั้น คณะกรรมการอำเภอได้มาคำนึงถึงว่า งานนี้เป็นงานประเพณีที่ประชาชนควรจะได้ร่วมมือร่วมใจกันรักษาไว้ให้ตลอดไป ทางราชการควรจะเป็นเพียงผู้อุ้มชูงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พร้อมทั้งให้ความร่วมมือกับประชาชนเป็นผู้จัดงานนี้เพื่อความเหมาะสมตามความต้องการของประชาชน

คณะกรรมการอำเภอหลังสวนจึงได้ตกลงมอบงานประเพณีการแห่พระแข่งเรือให้กับประชาชนเป็นผู้ดำเนินงานจัดขึ้นเองเป็นปีแรก คณะกรรมการและทางส่วนราชการจะเป็นผู้ช่วยและที่ปรึกษาของงานให้ได้รับความสะดวก และเพื่อที่จะให้ประชาชนได้จัดงานให้สมความต้องการของงาน และให้ได้มีโอกาสเป็นงานของตนเอง

ประชาชนชาวหลังสวนจึงได้รับจัดงานประเพณีการแห่พระแข่งเรือมาจากทางราชการด้วยความเต็มใจ และนับเป็นปีแรกในครั้งแรกที่ประชาชนรับงานแทนทางราชการจัดตลอดมา พ่อค้าประชาชนชาวหลังสวน ซึ่งได้จัดคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อเลือกหาประธานจัดงานที่เข้มแข็ง และมีทุนทรัพย์เพียงพอที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปตามความต้องการ ของประชาชนและทางราชการ

คณะกรรมการของประชาชน จึงได้ตกลงใจเชิญนายมังกร วรวิสุทธิสารกุล เป็นประธานจัดงานแห่พระแข่งเรือ และมีนายบุญฤทธิ์ พรหมมาศ เป็นรองประธานกรรมการ แล้วก็ด้วยบุคคลทั้งสองนั้นเต็มไปด้วยคุณธรรมในการที่จะรักษาประเพณีและงานกุศลเป็นส่วนรวม ทั้งได้เป็นผู้เสียสละการเงิน ในการสร้างสิ่งเป็นประโยชน์สาธารณะจนกระทั้งในปี ๒๕๐๗ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานเหรียญตราความชอบต่อบุคคลทั้งสอง

นายมังกร วรวิสุทธิสารกุล ได้ปรึกษาคณะกรรมการซึ่งประกอบไปด้วยพ่อค้า ประชาชน ที่ถูกแต่งตั้งให้ดำเนินงานโดยรีบด่วน จึงได้มีผู้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเป็นที่ชื่นชมแก่งานนั้นได้แก่ นายปิติ ชวพงษ์ ผู้จัดการธนาคารเกษตร จำกัด เป็นเลขานุการของงาน ได้เป็นผู้ดำเนินงานจัดขบวนแห่ต่างๆ อย่างมโหฬารยิ่ง พร้อมกันนั้นก็ได้มีนายชิด เทศพิทักษ์ อดีตนายกเทศมนตรีหลังสวนเป็นผู้ดำเนินงานในฐานะรองเลขานุการจัดสถานที่ต่างๆ ของงาน การดำเนินงานต่างๆ นั้นจำเป็นจะต้องใช้ทุนทรัพย์ลงไปก่อนเป็นจำนวนหมื่น และงานนี้ยังจะเป็นผลขาดทุนหรือได้กำไรนั้น ยังไม่สามารถจะคำนวณได้ถูกต้องเพราะเป็นปีแรก

คณะกรรมการ และประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ จึงได้ลงมติกันว่าถ้าหาก การเก็บผลกำไรจากค่าผ่านประตูได้จะได้มอบเงินทั้งหมดเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว บำรุงการกุศลทั้งหมด และถ้าหากเกิดการขาดทุนขึ้นเป็นจำนวนทั้งหมดเท่าใด นายมังกร วรวิสุทธิสารกุล ประธานกรรมการจัดงานยินดีเป็นผู้ออกให้เองทั้งนั้น เพื่อประโยชน์ส่วนรวม

งานประเพณีสำคัญของชาวปักษ์ใต้ แม้จะได้จัดขึ้นแล้วก็หาได้มีหลักฐานใดๆ ไว้เป็นที่ระลึกไม่ ประธานจัดงานจึงได้ให้นายกวง ฮุย ผู้จัดการห้องภาพเอี้ยวกี่หลังสวน ทำการถ่ายภาพยนตร์สีธรรมชาติไว้ทุกตอนทั้งนี้เพื่อที่จะเก็บภาพงานประเพณีนี้ไว้ต่อไปด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว

และก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ และพระบรมราชินีนาถได้ทรงส่งเสริมการประเพณีอันเก่าแก่นี้ไว้สืบไป จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมได้พระราชทานโล่ เป็นรางวัลแก่การแข่งเรือ และเรือสวยงามแก่ชาวหลังสวน และชาวปักษ์ใต้ตามหนังสือที่ รล.๐๐๐๒/๓๐๒๐ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๐๗ ผ่านสำนักราชเลขาธิการให้ชาวปักษ์ใต้ ในทุกจังหวัดมีสิทธิเข้าร่วมแข่งขันชิงโล่นั้นด้วย

โดยเฉพาะอำเภอหลังสวนได้ใช้เป็นสนามแข่งเรือตลอดมาเป็นเวลา ๑๐๐ ปีเศษ และเมื่อได้พระราชทานโล่ ก็นับว่าหลังสวนจะรุ่งเรืองต่อไปภายหน้าอย่างแน่นอน เพราะเป็นสนามแข่งเรือที่ทุกแห่งในภาคใต้จะได้ส่งเรือมาชุมนุมแข่งขันกัน ณ ที่นี้ นับว่าเป็น พระมหากรุณาธิคุณ แก่ชาวหลังสวนอย่างล้นพ้น

ในงานพิธีอันสำคัญของประเพณีนี้เป็นปีสำคัญที่สุดในรอบร้อยปีเศษที่ผ่านมานี้ และเป็นครั้งแรกในรอบร้อยปี เช่นเดียวกันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ และพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระราชทานโล่การแข่งเรือ งานจึงได้จัดอย่างใหญ่โตมโหฬารไม่มีงานแข่งเรือที่ใดๆ จะยิ่งใหญ่เท่า

ในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๐๗ ประชาชนนับจำนวนหมื่นได้หลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศ ทั้งต่างตำบล อำเภอ และจังหวัดใกล้เคียง ทำให้อำเภอหลังสวนเล็กและแคบลงไปทันที สถานที่พักไม่เพียงพอแก่ผู้มาท่องเที่ยวในวันอันสำคัญที่ประชาชนชาวปักษ์ใต้จะลืมเสียไม่ได้ ในเวลาเย็นวันนั้นเอง ขบวนรถไฟพิเศษได้อัญเชิญโล่พระราชทานมาสู่อำเภอหลังสวน แม้ฝนจะตกและค่ำมืด ประชาชนก็หลั่งไหลกันออกมาคอยรับโล่พระราชทานจนเนืองแน่นไปหมด

เมื่อโล่พระราชทานได้ถูกอัญเชิญจากรถไฟขบวนพิเศษแล้วจึงได้นำไปประดิษฐานไว้ยังวัดขันเงิน

ในวันรุ่งขึ้นวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๐๗ เวลา ๐๖.๐๐ น. ประชาชนต่างมาคอยอยู่ตามถนนหนทางต่างๆ เต็มไปตลอดทั่วทุกสาย ทั้งนี้ เนื่องจากในวันนี้เป็นวันแห่พระในเทศกาลออกพรรษา ประชาชน ในอาภรณ์หลากสี ดูตระการตาได้มาทำบุญตักบาตรกันเนืองแน่น ภิกษุสงฆ์ทั้งนอกและในอำเภอได้ถูกนิมนต์เข้ามารับบาตรจำนวนนับร้อยๆองค์ ไม่เป็นที่เพียงพอแก่การทำบุญตักบาตรของประชาชนในเช้าวันนี้ แม้จะรับบาตรล้นแล้วล้นอีก ถูกถ่ายออกนับเป็นสิบๆครั้ง ก็หาได้หมดคลื่นประชาชนที่มุ่งมาทำบุญประเพณีในเช้าวันนี่ไม่ แม้เวลาจะสายล่วงไปถึง ๐๙.๐๐ น. เล็กน้อยก็ตาม แต่ทุกคนก็ปลื้มใจที่ได้มีโอกาสมา ทำบุญร่วมกันอย่างสนุกสนาน

เวลา ๑๐.๐๐ น. ขบวนแห่ต่างๆ จากต่างตำบล อำเภอ และจังหวัดใกล้เคียงได้มาร่วมชุมนุมกันที่วัดประสาทนิกร อันมีทั้งขบวนยานยนต์ ขบวนม้า ที่ถือหอก ปลิวไสวชายธงสีแดงพลิ้วรับลม และขบวนนักเรียนโรงเรียนต่างๆ สมาคมต่างๆ และขบวนของโรงงานและเหมืองแร่ ขบวนประเพณีชาวไทยเดิม ขบวนแห่ของฝีพายเรือแข่งต่างๆ ที่แต่งกายหลากสีดูแพรวพราวตายิ่ง ขบวนกำนันผู้ใหญ่บ้าน และขบวนแฟนซีแข่งเรือ เรือประเภทความคิด จนกระทั่งปิดท้ายรายการของขบวนแห่ที่จะอัญเชิญโล่พระราชทานไปตามถนนหนทาง โดยขบวนช้างได้มาชุมนุมกันคับคั่ง หน้าสนามจนไม่มีที่พอเพียง ขบวนต่างๆ เหล่านี้ ประกอบด้วยผู้คนถึง ๕,๐๐๐ คนเศษ ช้างอีก ๓๐ กว่าเชือก นับว่าเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในรอบร้อยปี ของอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร

ขบวนต่างๆ ถูกจัดให้อยู่ในระเบียบและแนวทางอย่างสวยงามด้วยความสามารถของนายปิติ ชวพงษ์ ผู้จัดการธนาคารเกษตร จำกัด หลังสวน

ขบวนแรกนั้นเป็นกองดุริยางค์ลูกเสือของอำเภอหลังสวน ติดตามด้วยรูปหล่อของพระเทพวงศาจารย์ อดีตเจ้าคณะจังหวัดชุมพรผู้ล่วงลับไปแล้ว และได้สั่งฝากงานประเพณีนี้ไว้แก่ประชาชนชาวหลังสวนให้ปฏิบัติกันต่อไป จากนั้นเป็นขบวนของคณะกรรมการจัดงานและขบวนยานยนต์ ขบวนฝีพายของเรือแข่งต่างๆ ขบวนประเพณีไทย นักเรียน และรถเหมืองแร่ คุมขบวนสุดท้ายด้วยขบวนช้างศึก จนกระทั่งเวลา ๑๑.๓๐ น. ขบวนต่างๆ จึงเข้าสู่โรงพิธีอำนวยการอัญเชิญโล่พระราชทานเข้าสู่กองอำนวยการปะรำพิธีการ

พลเอกครวญ สุทธานินท์ (นายทหารราชองครักษ์พิเศษ ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขชาวหลังสวน, อดีตแม่ทัพภาคที่ 2, อดีตแม่ทัพภาคที่ 3, อดีตรองประธานวุฒิสภา และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม) ได้กล่าวมอบโล่พระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพระบรมราชินีนาถ แก่ข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพร เพื่อเป็นเกียรติแก่ชาวหลังสวน จังหวัดชุมพร ที่ได้มีโอกาสรับพระราชทานโล่ในครั้งนี้ที่พระองค์ได้ ทรงส่งเสริมงานประเพณีของไทยดั้งเดิม ทางปักษ์ใต้ให้ดำรงไว้ต่อไปมิให้สูญไปเสีย ท่านข้าหลวงประจำจังหวัดชุมพร จึงได้มอบโล่พระราชทานแก่นายมังกร วรวิสุทธิสารกุล ประธานจัดงานการแห่พระแข่งเรือเปิดงานแข่งขันเรือต่อไป

ณ สนามหน้าโรงพิธีนั้น แม้จะกว้างใหญ่แต่ก็เต็มไปด้วยผู้คนและนักกีฬาแข่งเรืออย่างแน่นขนัด ประธานจัดงานได้กล่าวเปิดงานแข่งเรือ และขอให้นักกีฬาแข่งเรือทุกคนได้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ และพระบรมราชินีนาถ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าส่งเสริมงานประเพณี แข่งเรือของชาวหลังสวน ที่ได้ทรงพระราชทานโล่ในครั้งนี้ ขอให้นักกีฬาแข่งเรือทุคนจงเป็นนักกีฬา รู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักอภัยซึ่งกันและกัน ให้ทุกคนจงช่วยรักษาประเพณีนี้ไว้ให้สมกับพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ และพระบรมราชินีนาถ

หลังจากนั้น ธงสัญลักษณ์ประจำเรือแข่งต่างๆ ได้ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาอันเป็นสัญลักษณ์ ว่าบัดนี้สนามเรือแข่งได้เปิดขึ้นชิงชัย เพื่อยังความยิ่งใหญ่ในผู้ชนะบนลำน้ำหลังสวน และเพื่อจะเป็นผู้ที่ได้รับพระราชทานโล่ไปครองในครั้งนี้ให้สมกับความตั้งใจ และได้ฝึกซ้อมฝีพายมานับแรมเดือน

ในการแข่งขันเรือในปี ๒๕๐๗ ที่อำเภอหลังสวนนั้นนับเป็นพิเศษสุด เพราะได้มีเรือแข่งได้มาแข่งกันหลายลำ แต่ละลำก็ได้ฝึกฝีพายกันมาเป็นเวลานาน เพื่อช่วงชิงโล่พระราชทานให้เป็นเกียรติแก่เรือของตน

หลังจากพิธีเปิดงานแข่งเรือแล้วนั้น ได้มีเรือแข่งเข้าแข่งขันชิ่งโล่พระราชทานประเภทฝีพายจะต้องมีฝีพายตั้งแต่ ๓๐ คน และไม่เกิน ๓๒ คน เรือที่ชิงโล่พระราชทานครั้งนี้คณะกรรมการได้เลือกที่ถูกต้องตาม ระเบียบข้อบังคับมี ๖ ลำด้วยกัน    เรือชัยณรงค์     เรือมังกรแก้ว     เรือเทพมังกร     เรือชลเทพ     เรือนางลำภู     เรือเดชสมิง

ในการแข่งขันกันนั้น เรือแต่ละลำจะต้องมาพบกันหมด และเรือลำหนึ่งจะต้องแข่งขันถึง ๒ ครั้งเสมอ ทั้งนี้เพราะสายน้ำของหลังสวนทั้งด้านนอกและด้านใน ความแรงของสายน้ำต่างกันจึงต้องเปลี่ยนสายน้ำ ฉะนั้นบางครั้งจึงต้องแข่งกันถึง ๓ ครั้งก็มี เพราะ ๒ ครั้งเสมอกัน ส่วนอีกครั้งหนึ่งนั้นเป็นการตัดสินแพ้ชนะ และแต่ละลำจะต้องเก็บคะแนนมารวมไว้เพื่อไปชิงชนะเลิศต่อไป ระยะการแข่งนั้นเป็นระยะทางราว ๗๐๐ เมตร เมื่อเรือแต่ละลำต้องพบกันหมดบรรดาฝีพายจะต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่จะต่อสู้กันทุกๆ ลำ

คณะกรรมการจัดการปล่อยเรือ และกรรมการตัดสินผู้ชนะนั้น การตัดสินแพ้ชนะนั้นไม่เป็นปัญหาที่ยุ่งยาก เพราะผู้ชนะจะถึงหลักชัยแล้วชิงธงไปเป็นกรรมสิทธิ์ ใครได้ก่อนก็จะเป็นผู้ชนะ จึงไม่ยากแก่การตัดสิน แต่ที่ยุ่งยากที่สุดนั้น คือกรรมการจัดการปล่อยเรือที่จะต้องมีความละเอียดและยุติธรรมเพียงพอ กรรมการจะต้องจัดการให้โขนเรือทั้ง ๒ ลำมาเทียบเท่ากันเมื่อเห็นว่า พร้อมแล้วจึงให้สัญญาณปล่อยเรือ จากนั้นเรือจะพุ่งออกไปด้วยฝีพายอย่างพร้อมเพรียง บางครั้งเรือจะพุ่งออกไปอย่างคู่คี่หรือจะเกินกันก็ไม่เกินกี่นิ้วยืนมองจากบนฝั่ง แทบไม่รู้จุดสุดท้ายของการชิงชัยกันนี้ ก่อให้ผู้ชมบนฝั่งและกองเชียร์ของเรือต่างๆ ตะโกนช่วยพวกพ้องของแต่ละลำอย่างใจหายใจคว่ำ หน้าที่ของผู้ชิงธงนั้นจะรีบนอนราบกับโขนเรือ แล้วพุ่งแขนออกไปเตรียมกระชากธงในทันทีทันใดที่มือแตะกับสายธง เพื่อชิงธงนั้นไปอย่างรวดเร็ว ใครได้ก่อนเป็นผู้ชนะบางครั้งต่างก็ถึงพร้อมกัน ผู้ชิงธงทั้งสองต่างก็ ไม่ยอมกัน จับธงแน่นไว้ทั้ง ๒ ฝ่าย ผู้ชิงธงทั้งคู่ก็ห้อยอยู่กันสายธงทั้งคู่ ปล่อยให้เรือที่วิ่งไปโดยเร็วนั้นผ่านไปก่อน เมื่อเกิดเช่นนี้ขึ้นก็เป็นอันว่าเที่ยวของการแข่งขันนั้น จะต้องถูกแข่งขันกันใหม่ทันที

  • กรรมการเรือแข่งในปี พ.ศ. ๒๕๐๗
  • ม.ร.ว. พูล ศรีธวัช
  • นายบรรทม จาตกานนท์
  • นายสันติ สืบสุข
  • นายประเสริฐ กิจพานิช
  • นายปัญญา ราชอัคคี
  • กรรมการปล่อยเรือ
  • นายเสรี ลิ่มทอง
  • นายพร้อม ธนะกิจ
  • นายนอบ อักษรขำ
  • นายชล เกิดกาญจน์
  • นายสมคิด บุญยง
  • กรรมการเปรียบเรือ
  • นายเสรี ลิ่มทอง
  • นายพร้อม ธนะเจริญ
  • นายนอบ อักษรขำ
  • นายชบ เกิดกาญจน์
  • นายสมคิด บุญยัง
  • เรือที่เข้าแข่งขันประเภทที่ ๒ มิได้ชิงโล่ เป็นเรือที่มีฝีพาย ๒๕-๒๘ คน
  • เรือสิงห์สมุทร
  • เรือมะเขือยำ
  • เรือสิทธิชัย
  • เรือสิงห์ทอง

การแข่งขันก็เช่นเดียวกับเรือประเภทที่ ๑

เรือแข่งขันประเภทที่ ๑ ชิงโล่พระราชทานได้เริ่มชิงชัยกันตั้งแต่วันที่ ๒๓ และ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๐๗ นั้น ในบ่ายวันที่ ๒๔ นั่นเอง เรือเดชสมิงได้ผ่านการชิงชัยชนะกันมาถึง ๑๔ รอบ เป็นเรือยืนคอยรับการท้าชิงกับเรือนางลำภู ซึ่งได้ชัยชนะมาแล้วถึง ๑๔ รอบแล้วเหมือนกัน และในรอบที่ ๑๕ นั้น จะเป็นรอบที่เผชิญหน้ากับเรือเดชสมิง ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ เพื่อผ่านไปรอบที่ ๑๖ อันเป็นรอบตัดสินเด็ดขาด ในอันที่จะครองโล่พระราชทานในปี พ.ศ. ๒๕๐๗

ครั้นเมื่อได้เวลาเทียบเรือเข้าแข่ง ผู้ชำนาญไสยเวทย์ประจำเรือต่างโอมอ่านคาถาและวักน้ำข่มนามประพรมบนโขนเรือเพื่อข่มขวัญฝ่ายตรงข้าม

เมื่อเรือทั้ง ๒ เทียบเคียงกันเรียบร้อยแล้ว กรรมการได้ให้สัญญาณออกเรือโดยฉับพลันราวกับลูกธนูพุ่งออกจากแล่ง ฝีพายทั้งสองฝ่ายต่างก็ช่วยกันจ้ำอย่างไม่คิดชีวิตชีวา มีแรงเท่าใดก็พยายามโหมฝีพายอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันไว้ หัวเรือผ่าพุ่งสายน้ำแตกกระเซ็นเป็นฟองแตกกระจายทั่ว เสียงของผู้ชมเรือแข่งนับพันได้ตะโกนร้องเรียกเรือของแต่ล่ะฝ่าย จนฟังไม่ได้ศัพท์บางคนกระโดดตัวลอยเพื่อเป็นกำลังใจกับเรือที่ตนสนับสนุน พร้อมกับตะโกนเรียกชื่อเรือ บ้างก็เรียกนางลำภู บ้างก็เรียกเดชสมิง เป็นภาพที่น่าดูอย่างยิ่ง บางครั้งสาวเจ้าลืมตัวกระโดดตัวลอยแถมถกผ้านุ่งจนถึงโคนขา ก็อายม้วนหลีกหนีหน้าไปก็ไม่น้อย เมื่อเรือกำลังจะถึงหลักชัยนั้นทุกคนใจเต้นระทึกในเที่ยวแรกนี้ปรากฏว่าเรือเดชสมิงชนะเรือนางลำภูไปอย่างหวุดหวิด

เมื่อการแข่งแก้ตัวเป็นการเปลี่ยนสายน้ำทำให้เรือนางลำภูต้องต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่ถึงอย่างไรก็ตามในรอบที่ ๑๖ นี้ อันเป็นการตัดสินโชคชะตาของเรือทั้งสองที่จะทำการแข่งขันกันอีกหรือไม่ในรอบที่ ๑๗ แต่ในที่สุดเรือเดชสมิง อันเป็นเรือของชาวแหลมทราย ปากน้ำหลังสวนก็สามารถกำชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด

โล่พระราชทานจึงได้ตกเป็นของเรือเดชสมิง ในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ และรองชนะเลิศได้แก่ เรือนางลำภู

ส่วนเรือประเภท ๒ นั้น เมื่อแข่งขันพบกันทุกคู่แล้ว คู่ชิงชนะเลิศนั้นได้แก่ เรือสิงห์ทอง และเรือมะเขือยำปรากฏว่า เรือสิงห์ทองเป็นผู้กำชัยชนะไว้ได้

ส่วนเรือประเภทสวยงามชิงโล่พระราชทานของสมเด็จพระบรมราชินีนาถนั้น มีเรือสวยงามเข้าประกวดหลายลำ แต่เมื่อการตัดสินชนะเลิศแล้ว ปรากฏว่าเรือนางทองเป็นเรือสวยงามที่สุดได้ครองโล่พระราชทานปี พ.ศ. ๒๕๐๗

ในการแห่พระแข่งเรือนั้น งานเต็มไปด้วยความครึกครื้นพร้อมทั้งมีมหรสพและกีฬากลางแจ้งต่างๆ อย่างสนุกสนานยิ่ง

วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๗ เป็นวันสุดท้ายของงานประธานกรรมการจัดงานได้ทำพิธีแจกรางวัลการกีฬาและการแข่งขันเรือ จึงได้มอบโล่พระราชทาน ให้แก่เรือเดชสมิง เป็นผู้ครองโล่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และเรือนางทองประเภทสวยงามเป็นผู้ครองโล่ของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และรางวัลอื่นๆ แก่เรือรองชนะเลิศ และของที่ระลึก แก่เรือทุกๆ ลำ การดำเนินงานเต็มไปด้วยความสนุกสนาน แม้แต่เหตุต่างๆ ก็ไม่ปรากฏในงานนี้เลย งานดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยถูกต้องตามประเพณีนิยมทุกประการ

แม้ว่างานจะสนุกสนาน แต่งานในปีนั้นก็มีผลขาดทุนถึงหมื่นบาทเศษ ประธานกรรมการจึงได้เป็นผู้ออกรายจ่ายด้วยตนเองทั้งสิ้น ก็เพื่อที่จะรักษาประเพณีนี้ไว้ พร้อมกันนั้นก็ได้จัดการถ่ายภาพยนตร์ประเพณีเป็นสีไว้ชุดหนึ่ง ทั้งนี้ด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะทูลเกล้าถวายแด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งได้ทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม และพระราชทานโล่เนื่องในงานประเพณีแข่งเรือในครั้งนี้ เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ซึ่งพระราชทานแก่ชาวหลังสวนและชาวปักษ์ใต้ทั้งมวล

โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงมีพระราชดำรัส แก่คณะกรรมการจัดงานแห่พระแข่งเรือ ปี ๒๕๐๗ ที่ได้เข้าเฝ้า ความตอนหนึ่งว่า

“....ขอให้ร่วมรัก สามัคคี ให้งานประเพณีอยู่ยั่งยืนตลอดไป”