ตำนานเรือแห่งลุ่มน้ำหลังสวน
โดย กฤษฎา บุษบรรณ
เรือมะเขือยำ



จดหมายเหตุสมัยรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสหัวเมืองมลายู ร.ศ.๑๐๘ (พ.ศ. ๒๔๓๒) บันทึกว่า ........…“วันที่ ๙ สิงหาคม เช้า ๒ โมง ทอดสมอ หน้าเมืองหลังสวน พระยารัตนเศรษฐี พระจรูญโภคากร พระศรีโลหภูมิพิทักษ์ พระอัษ ฎงคตทิรักษา ลงไปเฝ้าธุลีพระบาท เรือที่ลงมารับเสด็จบันทุกเข้าของแลนำร่อง มีเรือโขนอย่างบ้านนอก สองลำ ลำหนึ่งยี่สิบห้ายี่สิบหกพาย”
เรืองที่กล่าวถึง คือเรือมะเขือยำ วัดคอนชัย และเรือศรีนวลวัดปากน้ำ (วัดสว่างมนัส) เรือมะเขือยำยังมีสภาพดี ส่วนเรือศรีนวลผุพังไปแล้ว เรือสองลำได้รับเกียรติให้เป็นเรือรับเสด็จ เพราะเป็นเรือที่ชนะในการแข่งขันบ่อยๆ ในสมัยนั้น
หลวงพ่อกระจ่าง วัดดอนชัย เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า หลวงพ่อไพ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนชัย ได้เดินทางไปที่อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบเห็นเรือโกลนลำหนึ่ง จอดอยู่ที่ท่าน้ำ มีดินโคลนดินทรายอยู่ครึ่งลำเรือ มีลักษณะดีน่าจะใช้เป็นเรือแข่งได้ ท่านจึงขอจากเจ้าของ เจ้าของตกลงให้ ท่านและลูกศิษย์ได้นำเรือล่องทางชายฝั่งทะเล โดยก่อนเดินทาง ชาวบ้านได้ถวายไต้ (ใช้สำหรับจุดไฟให้สว่าง) มาเกือบเต็มลำเรือ ถึงวัดดอนชัย ก็ให้ช่างตกแต่งเป็นเรือแข่ง ส่งเข้าแข่งขัน ไม่ชนะ
ครั้งหนึ่ง ฝีพายรู้สึกเหนื่อยอ่อนจนไม่สามารถพายเรือกลับวัดได้ พอมาถึงวัดต้นกุล จึงยกเรือขึ้นบนตลิ่ง และทิ้งไว้จนหญ้าคา งอกบัง จนมองไม่เห็นลำเรือ หลวงพ่อกระจ่าง ได้นำเรือไปซ่อม โดยมอบหมายให้ช่างพริ้ม ฤทธิ์มั่นคง (บิดาของช่างสมนึก ฤทธิ์มั่นคง) เป็นช่างใหญ่ ดำเนินการซ่อมเรือ โดยใช้ไม้ตะเคียนจากวัดทัพชัย จนเรืออยู่ในสภาพดี สามารถเข้าแข่งขันได้ แม่ย่านาง เข้าฝันว่า ถ้าจะให้ชนะ ให้บวงสรวงเซ่นไหว้ ให้ยำมะเขือยำมาด้วย จึงได้ชื่อว่า เรือมะเขือยำ คนใกล้วัดดอนชัย เล่าว่าในช่วงที่ เรือมะเขือยำ กำลังรุ่งโรจน์ นก ไก่ บินข้ามต้องตกลงมาตาย เด็กๆ ไปเล่นใกล้เรือต้องเป็นไข้ผู้ปกครองต้องทำยำมะเขือยำไปบวงสรวง
เรือมะเขือยำ มีลวดลายที่ตัวเรือดั้งเดิมคือรูปม้ากำลังวิ่ง เป็นเรือยาวที่ใช้สำหรับแข่งขัน ประเภท ๒๘ ฝีพาย และสามารถครองความชนะเลิศอยู่เสมอ จึงถือได้ว่า เรือมะเขือยำ เป็นเรือที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์เมืองหลังสวนมากทีเดียว ปัจจุบันเรือมะเขือยำไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันอีกต่อไปแล้ว แต่ยังทำหน้าที่ในงานประเพณีคือ เป็นเรือเกียรติยศ พายนำหน้าขบวนพาเหรดเรือ ในพิธีเปิดการแข่งขันทางน้ำในทุกๆปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ เป็นต้นมา
ผู้เขียน นายนรานนท์ เพชรสุวรรณ
(โดยคำบอกเล่า หลวงพ่อกระจ่าง วัดดอนชัย, พระครูวีรกิจจาทร วัดทองโข, คนใกล้วัดดอนชัย (ดอนยาง) ตำบลพ้อแดง อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร)
เรือนางลำภู



เรือแม่นางลำภู ขุดจากไม้ตะเคียนไพลจากป่าบ้านในโหมง ตำบลปังหวาน อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร ภายใต้การนำของ คุณโยมพ่อของพระเชื้อ ล่องลือฤทธิ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดบางลำภู ไม้ต้นนี้ใต้โคนราบเรียบและมีจอมปลวกหมูสีขึ้นแอบอยู่ ดูแล้วน่าอัศจรรย์มาก โดยนายหนู เพชรอุทัย ทำพิธีไสยศาสตร์ เพื่อเชิญรุกขเทวดา นางไม้ เมื่อเวลา ๑๒.๓๐ น. ของวันเสาร์ที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ลงมือโค่นเวลา ๑๓.๐๐ น. ไม้ล้มเมื่อเวลา ๑๔ ๔๕ น. วัด โดยรอบต้นได้ ๘ ศอกเศษ ไม้ทั้งต้นยาว ๑๘ วา ๓ ศอกเศษ ตัดมาทำเป็นเรื่อยาวเพียง ๙ วา ๓ ศอก ช่างลงมือโกลนเรือในวันเสาร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ ได้ฤกษ์ชักลากจากตอไม้ตะเคียนไพลวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. โดยช้างของนายอั้น ศักรางกูร ซึ่งได้ชักลากจากลำคลอง จนมาถึงแม่น้ำใหญ่ในวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ แล้วทำการล่องเรือโกลนมาตามแม่น้ำหลังสวนถึงวัดบางลำภู ในวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๔ เวลาเที่ยงตรง และ ได้นำช้างพลายรัก ของนายด้วน อยู่พรม ชักลากขึ้นจากน้ำไปไว้ใต้ต้นมังคุดใกล้ศาลาโรงธรรมในสมัยนั้น แต่ยังคงสภาพเป็นเรือโกลนเช่นนั้นอยู่ ๒ ปี เนื่องจากทางวัดขาดงบประมาณในการจ้างช่างมาขุดเรือ
ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ พระเชื้อ ล่องลือฤทธิ์ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกสร้างเรือใหม่ได้ลาสิกขาบทออกไป ตอนนั้นมีพระอรุณแปทะลุง ซึ่งรักษาการแทนเจ้าอาวาส ได้ว่าจ้างช่าง ๓ คน คือ นายหมวก ช่วยเกิด อายุ ๗๐ กว่าปี เป็นผู้นำฝ่ายช่างใหญ่พร้อมด้วย นายวัน มีทิม และนายเจิม ช่วยเกิด มาขุดแต่งเรือโกลนจนสำเร็จ เนื่องจากเรือยังใหม่ ไม่มีชื่อเรือที่แน่นอนแม้ผู้อาวุโสในท้องถิ่นได้ช่วยระดมพลังสมองช่วยกันตั้งชื่อแต่ไม่เป็นที่ถูกใจ เรือนางลำภูได้ถูกนำลงพายแข่งขันที่สนามแข่งเรือ ท่าน้ำวัดด่านประชากร ครั้งแรก ปี ๒๕๐๗ ในนาม เรือวัดบางลำภู แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จและเนื่องจากเรือยังไม่มีชื่อเป็นที่แน่นอน จึงมีนายวินัย (โบ้ย) กองเจริญ ซึ่งรับราชการอยู่ที่ไปรษณีย์ โทรเลข อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ได้ทำหนังสือกราบเรียนไปยัง ท่านจอมพลประภาส จารุเสถียร (ผู้บัญชาการทหารบกและรองนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เพื่อช่วยอนุเคราะห์ตั้งชื่อเรือให้สมดังความตั้งใจของผู้ขอและชาวบางลำภู ท่านจึงให้ชื่อเรือว่า "เรือนางลำภู" พร้อมกับส่งเสื้อทีม และธงทีมมาให้เป็นของขวัญ อีกทั้งยังอุปการะสร้างความชื่นชมและเป็นที่พอใจของชาวบ้านบางลำภูเป็นอย่างมาก
เรือบางลำภูพายแข่งขัน ๘ ปี ตั้งแต่ปี ๒๕๐๗ -๒๕๑๕ ด้วยพลังของฝีพายที่มีความรัก สามัคคีอย่างเหนียวแน่นของเลือดชาวบางลำภู จึงทำให้เรือนางลำภูครองโล่พระราชทานได้ถึง ๒ สมัย คือ ๖ ปีติดต่อกันตั้งแต่ปี ๒๕๐๙ - ๒๕๑๕จากนั้นฝีพายหยุดทำการแข่งขันตามเจตนารมณ์ที่เคยสัญญาไว้กับเรือ และนำเรือนางลำภูขึ้นคาน เพื่อเก็บไว้ให้คนบูชา และเป็นอนุสรณ์ให้อนุชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความรักความสามัคคีที่ทำมาซึ่งความสำเร็จ และเป็นเกียรติประวัติอัน ยิ่งใหญ่ควรแก่การเอาเป็นแบบอย่างนำไปปฏิบัติเพื่อให้มีประเพณีท้องถิ่นสืบไปนับแต่นั้นมา
เรือนางลำภูก็เป็นเรือเกียรติยศ พายนำขบวนพาเหรดทางน้ำในพิธีเปิดการแข่งขัน
- หมายเหตุ เรือนางลำภูมีชื่อที่คุ้นหูชาวหลังสวน ดังนี้
-
นางลำภูชื่ออย่างเป็นทางการ ซึ่งตั้งโดยจอมพลประภาส จารุเสถียร
-
บางลำภูเรียกตามชื่อวัดบางลำภู
-
แม่นางลำภูเรียกตามความเชื่อถือศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อแม่ย่านางเรือ ซึ่งถือ เสมือนเทพอันศักดิ์สิทธิ์ จะบนบานศาลกล่าวสิ่งใดก็ประสพผล
เรือสิงห์ทอง


เรือสิงห์ทอง จากวัดวาลุการาม (วัดแหลมทราย) เรือยาวเก่าแก่อีกลำของลำน้ำหลังสวน เป็นเรือที่เคยพายแข่งขันชนะเลิศรางวัล "ขันน้ำพานรองแสงอาทิตย์" ของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลฯ (รัชกาลที่ ๘) เมื่อปี พ.ศ ๒๔๘๒ ซึ่งเป็นถ้วยรางวัลแรกของการแข่งขันเรือยาวประเพณี ของอำเภอหลังสวน และยังชนะเลิศได้อีกถึง ๓ ครั้ง ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒, ๒๔๘๖, ๒๔๘๗
อีกทั้งยังเป็นเรือลำแรกที่ชนะเลิศการพายแข่งขันเรือในประเภท ข. (ฝีพายในจังหวัดชุมพร) และยังเป็นเรือที่ได้ครองกรรมสิทธิ์ "ถ้วยยอดทอง" ถ้วยรางวัลพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ เพราะชนะเลิศ ๓ ปีติดต่อกันเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๗-๒๕๒๙
ตามประวัติการสร้างเรือสิงห์ทองเริ่มจากการที่ผู้ใหญ่ปลอง ซึ่งเป็นชาวบ้านดอนตาผล และนายเต็มชาวบ้านบางลำภู พากันเข้าป่าเพื่อหาไม้มาขุดเรือและ ได้ไปพบต้นตะเคียนทองขนาดใหญ่ในป่าเขาท่าทอง ปลายริมคลองตะโก ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าต้นตะเดืยนทองต้นนี้ ตอนที่โค่น แม้จะฟันจนต้นไม้ขาดจากตอแล้ว ต้นไม้ก็ไม่ล้มลงมาแต่ยังคงคงหนุนตั้งอยู่บนตอจนกระทั่งฝนตกหนักไม้ถึงได้ล้ม เมื่อนำไม้ออกจากป่าแล้วผู้ใหญ่ปลองก็นำไปถวายเจ้าอาวาสวัดบางลำภู แต่ขณะนั้น วัดมีเรือม้าย่องอยู่แล้วเจ้าอาวาสจึงไม่รับเอาไว้ผู้ใหญ่ปลองจึงนำไปถวายหลวงพ่อเพชร ที่วัดแหลมทราย แล้วมอบให้ช่างยก กาญจนรัตน์ ทำการขุดเรือ และต่อมาไม้ซุงต้นนี้ ก็กลายมาเป็น "เรือสิงห์ทอง" เรือที่กลายเป็นตำนานแห่งแม่น้ำหลังสวน
ในปัจจุบันเรือสิงห์ทองคือหนึ่งในสามลำของเรือเกียรติยศ ที่ทุกปีจะพายนำขบวนพาเหรดทางน้ำในวันพิธีเปิด งานประเพณีแห่พระแข่งเรือฯ

เรือหัวเข้อีกหนึ่งตำนานเรือแห่งลุ่มน้ำหลังสวน

ในภาพจะเห็นได้ชัดว่า มีเรือลักษณะเป็นหัวสัตว์ ซึ่งในอดีตสมัยหนึ่งนั้นหลังสวนบ้านเราเคยมีเรือที่หัวเรือมีลักษณะเป็นหัวสัตว์เข้าทำการแข่งขัน ทราบมาว่าเรือหัวเข้ จะมีที่ วัดขันเงิน และ วัดวิเวการาม (วัดบางลำภู) ปัจจุบันเหลือเพียงตำนานเรื่องเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ไว้เล่าให้ลูกหลานฟัง
สำหรับภาพนี้นั้นนับว่าเป็นภาพเก่าแก่ภาพหนึ่งของหลังสวนก็ว่าได้ จะสังเกตได้ว่าสะพานรถไฟด้านหลังมีลักษณะโค้งทั้ง ๒ ด้าน แสดงให้เห็นว่าภาพนี้ถ่ายก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เสียอีก รูปภาพนี้คาเว่าราวปี พ.ศ.ศ.๒๔๗๗
"....วัดขันเงิน บางลำภูเป็นผู้คิด
ได้ประดิษฐ์เรือหัวจระเข้ขึ้นมาใหม่
เป็นเรือรูปหัวสัตว์สวยสมใจ
แต่สู้เพื่อนไม่ได้เมื่อใกล้ธง
เรือหัวสัตว์สิ้นพลังจากหลังสวน
เหลือตำนานให้ชวนพิศวง
คนรุ่นหลังได้ฟังแล้วยังงง
เรือหัวสัตว์หมดลงตามเวลา...."
ขอบคุณข้อมูล อ.กฤษฎา บุษบรรณ
ภาพจาก อ.อังคณา อนันตรัตนา